ปลาหมอคางดำ ภัยคุกคามที่ล้นแหล่งน้ำ ไม่ใช่แค่ปลาหมอคางดำ

การกล่าวโทษ ปลาหมอคางดำ (Sarotherodon melanotheron) ว่าเป็น “ผู้ร้าย” แห่งระบบนิเวศ อาจเป็นการมองปัญหาเพียงด้านเดียว เพราะแท้จริงแล้ว การปรากฏตัวของปลาชนิดนี้ เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็ง ที่สะท้อนถึงวิกฤตการณ์ที่ใหญ่กว่ามากในระดับชาติ นั่นคือ การลักลอบนำเข้าสัตว์น้ำและพืชต่างถิ่น รวมถึงการจัดการที่ขาดความรับผิดชอบและไร้ประสิทธิภาพ

ปลาหมอคางดำ

“ปลาหมอคางดำ” มองให้ลึกถึงปัญหาที่ซ่อนอยู่

ภัยคุกคามที่ล้นแหล่งน้ำ ไม่ใช่แค่ปลาหมอคางดำ

ในวันนี้แหล่งน้ำธรรมชาติของไทยไม่ได้มีเพียงปลาหมอ เท่านั้น แต่ยังเต็มไปด้วยสายพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานและไร้การควบคุม โดยเฉพาะ ชนิดพันธุ์ต้องห้าม ที่สร้างผลกระทบต่อทั้งระบบนิเวศและเศรษฐกิจอย่างรุนแรง เช่น

  • สัตว์น้ำรุกราน ได้แก่ ปลาหมอบัตเตอร์ ปลาหมอมายัน ปลาปิรันยา ปลาซัคเกอร์ ปลาดุกแอฟริกัน และหอยเชอรี่
  • พืชรุกราน เช่น ผักตบชวา ผักกระฉูด ไมยราบยักษ์
  • สัตว์บก เช่น อีกัวน่า และนกพิราบ

การแพร่ระบาดของสายพันธุ์เหล่านี้ในธรรมชาติได้ดำเนินไปจนถึงจุดที่ยากจะจัดการ

รากเหง้าของปัญหาเกิดจากความหย่อนยานในการบังคับใช้กฎหมาย

ต้นเหตุของการรุกรานนี้ คือ เครือข่ายการนำเข้าที่ซับซ้อนและแยบยล ตั้งแต่การสำแดงเท็จในเอกสาร ไปจนถึงการลักลอบนำเข้าโดยไม่ผ่านกระบวนการตรวจสอบตามกฎหมาย ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ “ไม่มีกฎหมาย” แต่เป็นเรื่องของ “การบังคับใช้ที่ไม่เข้มงวด” และ “ความไม่โปร่งใสในการตรวจสอบ”

น่าเสียดายที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมักเลือกสื่อสารเฉพาะประเด็นที่เป็นผลดีกับตนเอง ทำให้สังคมถูกเบี่ยงเบนความสนใจจากภาพรวมทั้งหมด สังเกตได้จากกรณีปลาหมอ ที่ถูกประโคมข่าวอย่างกว้างขวาง แต่กลับแทบไม่มีการกล่าวถึงผลกระทบที่รุนแรงไม่แพ้กันจากปลาหมอบัตเตอร์ หรือ ปลาซัคเกอร์

แม้มีรายงานว่า 11 บริษัทเกี่ยวข้องกับการลักลอบนำเข้าปลาหมอ และส่งออกไปยัง 17 ประเทศ แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีการตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างจริงจังหรือนำผู้กระทำผิดมารับโทษ

ขณะที่การพบปลาหมอมายันและปลาหมอบัตเตอร์ ซึ่งเป็นสัตว์น้ำต้องห้าม ในบ่อเลี้ยงและอ่างเก็บน้ำเขื่อนสิริกิติ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ แต่กลับถูกปล่อยให้แพร่กระจายอย่างรวดเร็วโดยปราศจากมาตรการจัดการใด ๆ

คำถามสำคัญที่ต้องหาคำตอบ

เหตุใดปลาต่างถิ่นเหล่านี้จึงสามารถเล็ดลอดเข้ามาและแพร่กระจายได้โดยง่าย?

ทำไมจึงไม่มีการตรวจสอบหรือเอาผิดผู้ที่อยู่เบื้องหลังการลักลอบนำเข้าอย่างแท้จริง?

ประเทศไทยจะยอมให้ความจริงเหล่านี้ถูกกลบเงียบพร้อมกับการทำลายระบบนิเวศพื้นถิ่นไปอีกนานแค่ไหน?

บทเรียนจากต่างประเทศคือ การเปลี่ยน “ภัยคุกคาม” เป็น “ทรัพยากร”

นอกจากไทยแล้วยังมีหลายประเทศที่ประสบปัญหาคล้ายกัน เช่น สหรัฐอเมริกา ฟิลิปปินส์ สเปน และโปรตุเกส ล้วนมีแนวทางรับมือที่ชัดเจนและจริงจัง โดยเน้นที่การเร่งกำจัดสายพันธุ์รุกรานออกจากแหล่งน้ำทันที รวมทั้งใช้ประโยชน์จากปลาเหล่านั้นในการแปรรูปเป็นอาหาร ผลิตภัณฑ์ หรือเหยื่อของสัตว์น้ำ เพื่อควบคุมจำนวนอย่างเป็นระบบ กุญแจสำคัญ คือ การมีรัฐบาลที่เป็นผู้นำในการขับเคลื่อนมาตรการอย่างรวดเร็วและเป็นขั้นตอน

โอกาสที่ซ่อนอยู่ของปลาหมอ แม้จะถูกจัดว่าเป็น Alien Species แต่ในทางโภชนาการ มันอยู่ในตระกูลเดียวกับปลานิล มีโปรตีนสูง ไขมันต่ำ และสามารถนำไปแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ได้หลากหลายรูปแบบ เช่น น้ำปลาร้า, ปลาผง, น้ำปลา, ลูกชิ้น, หรือผลิตภัณฑ์แปรรูปอื่น ๆ

ถึงเวลาจัดการที่ต้นตอ ปัญหาคือ “มนุษย์” ไม่ใช่ “ปลา”

นักวิชาการส่วนใหญ่มีความเห็นตรงกันว่า “ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวปลา แต่อยู่ที่การจัดการของมนุษย์” หากเรามีระบบบริหารจัดการที่รอบด้าน โปร่งใส และมีความรับผิดชอบ ปลาหมอ ก็อาจถูกเปลี่ยนจากภัยคุกคามให้กลายเป็นทรัพยากรใหม่ทางเศรษฐกิจ ได้

สิ่งที่ประเทศไทยต้องเร่งดำเนินการ คือ การจัดการกับ “ทุกสายพันธุ์ต่างถิ่น” ที่คุกคามความหลากหลายทางชีวภาพ ไม่ใช่แค่ปลาหมอ เพียงชนิดเดียว เราจำเป็นต้องมีกลไกกลางที่เข้มแข็งในการควบคุม ตรวจสอบ และรับผิดชอบต่อการลักลอบนำเข้าอย่างจริงจัง

อีกทั้งต้องยุติการเลือกพูดเฉพาะกรณีที่มี “เจ้าภาพ” หรือเป็นที่สนใจ แต่ต้องให้ข้อมูลที่ครบถ้วนแก่สาธารณะอย่างตรงไปตรงมา

เพราะทุกสายพันธุ์ต่างถิ่น ไม่ว่าจะเป็นปลา, พืช, หรือสัตว์ ล้วนมีศักยภาพในการทำลายระบบนิเวศได้เท่าเทียมกัน หากเรายังคงปล่อยให้ปัญหานี้ถูกกลบด้วยความเงียบ ประเทศไทยจะสูญเสียสิ่งมีชีวิตพื้นถิ่นที่มีค่าไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ

ดังนั้น จึงถึงเวลาแล้วที่เราต้องตื่นตัว และจัดการกับปัญหาสายพันธุ์ต่างถิ่นอย่างจริงจัง เพื่อปกป้องอนาคตของระบบนิเวศไทยทั้งหมด  formuladenegocio