กรมลดโลกร้อน เผยไทยเสี่ยงสูงจาก สภาพอากาศสุดขั้ว เร่งยกระดับ

วันที่ 29 พ.ย. 2568 ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ได้เปิดเผยข้อมูลจากรายงาน Climate Risk Index (CRI) 2026 โดยองค์กร Germanwatch ที่ประเมินผลกระทบจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วทั่วโลก โดยใช้ฐานข้อมูลระหว่างประเทศ ช่วงระยะเวลา 30 ปี (ค.ศ. 1995–2024) พบว่า ในปี 2024 ประเทศไทยมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น อยู่ในอันดับที่ 17 จากอันดับที่ 72 ในปี 2022 สะท้อนถึงความเปราะบางต่อเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วอย่างชัดเจน ส่วนความเสี่ยงระยะยาว 30 ปี อยู่อันดับที่ 22 จากอันดับที่ 30 ในปี 2022 แสดงให้เห็นว่าความเสี่ยงของไทยเพิ่มสูงขึ้น

กรมลดโลกร้อน เผยไทยเสี่ยงสูงจาก “สภาพอากาศสุดขั้ว” เร่งยกระดับการเตือนภัย

กรมลดโลกร้อน

รายงานดังกล่าว ยังระบุว่า ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วมากกว่า 9,700 ครั้ง มีประชากรได้รับผลกระทบเกือบ 5.7 พันล้านคน มีผู้เสียชีวิตกว่า 832,000 คน เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจรวมกว่า 4.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสาเหตุการเสียชีวิตสูงที่สุดเกิดจากคลื่นความร้อนและพายุ รวม 66% ขณะที่น้ำท่วมส่งผลกระทบต่อประชากรมากที่สุด 48% ส่วนพายุสร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจสูงที่สุด 58% หรือราว 2.64 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับปี 2024

สำหรับประเทศที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วมากที่สุด 10 อันดับแรก ได้แก่ เซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์ เกรนาดา ชาด ปาปัวนิวกินี ไนเจอร์ เนปาล ฟิลิปปินส์ มาลาวี เมียนมา และเวียดนาม ขณะที่ความเสี่ยงระยะยาว 30 ปี ประเทศที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด ได้แก่ โดมินิกา เมียนมา และฮอนดูรัส ซึ่งกลุ่มประเทศดังกล่าว มีความสามารถในการปรับตัวต่ำกว่าประเทศอื่น กรมลดโลกร้อน

ถึงแม้ว่าไทยจะมีระดับการพัฒนาสูงกว่าประเทศรายได้ต่ำหลายประเทศ แต่ยังคงเผชิญกับความสูญเสียและความเสียหายจากสภาพอากาศรุนแรง โดยเฉพาะเหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา หนึ่งในจังหวัดที่มีความเสี่ยงในเรื่องภัยอันตรายจากฝนตกหนัก ที่มีปริมาณฝนตกหนักสูงสุดถึง 350 มิลลิเมตรต่อวัน ถือเป็นปริมาณที่มากผิดปกติในรอบ 300 ปี สร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน

ส่วนสาเหตุของปริมาณฝนที่ตกหนักนี้ เป็นสัญญาณบ่งชี้ที่ชัดเจนถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ที่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รูปแบบของฝนเปลี่ยนแปลงไป รัฐบาลจึงให้ความสำคัญกับการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยกำหนดนโยบายรัฐบาลด้านธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ข้อ 12 เร่งติดตั้งเครื่องมือเตือนภัยและพัฒนาเครือข่ายการเตือนภัยพิบัติโดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงสูง และข้อ 13 ผลักดันสังคมคาร์บอนต่ำ ประกาศให้ไทยบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ในปี 2050

ภายใต้กรอบดังกล่าว กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม จึงเร่งขับเคลื่อนและบูรณาการการดำเนินงานตามแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (National Adaptation Plan : NAP) อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ระดับนโยบายถึงระดับพื้นที่ ร่วมกับหน่วยงานหลักทั้ง 6 สาขา ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ทั้งการยกระดับระบบเตือนภัยพิบัติของประเทศ ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายการปรับตัวระดับโลก (Global Goal on Adaptation : GGA) การบริหารจัดการน้ำทั้งในเมืองและชนบท การส่งเสริมมาตรการปรับตัวด้านสาธารณสุข เกษตร และโครงสร้างพื้นฐาน การสนับสนุนการใช้แนวทางธรรมชาติในการแก้ไขปัญหา การพัฒนาแนวทางการปรับตัวในพื้นที่เสี่ยง รวมถึงการพัฒนากลไกสนับสนุนการปรับตัว เช่น การเข้าถึงแหล่งเงินทุนสำหรับการปรับตัวในพื้นที่ การพัฒนาฐานข้อมูลความเสี่ยงและศูนย์ข้อมูลด้านการปรับตัว รวมถึงระบบการติดตามเชิงรุก การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการบริหารจัดการความเสี่ยง

formuladenegocio